ปูกระเบื้องผิดวิธี เสียหายหนักกว่าที่คิด! ปูยังไงให้ถูก ต้องมาดู

บ้าน อาคาร สถานที่ต่างๆ จะมีความคงทน ใช้งานได้นาน ต้องให้ความสำคัญกับรากฐาน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นโครงสร้างอาคารที่สำคัญ “พื้นกระเบื้อง” ก็เป็นรากฐานหนึ่งที่ไม่ควรถูกมองข้าม หากปูกระเบื้องไม่ดี เกิดปัญหากระเบื้องโก่ง หลุด หรือระเบิด ซึ่งสาเหตุเหล่านี้อาจเกิดจากโครงสร้างทรุดตัว อุณหภูมิและความชื้น และการปูกระเบื้องผิดวิธี ดังนั้นต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ขั้นตอนการปูกระเบื้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา

4 สาเหตุ ที่ทำให้กระเบื้องโก่ง กระเบื้องระเบิด

การปูกระเบื้องที่ได้มาตรฐาน ควรตรวจดูตั้งแต่ลักษณะพื้นผิว ประเภทกระเบื้องที่นำมาใช้ จนถึงวิธีการปูที่ถูกต้อว เพื่อไม่ให้เกิดสาเหตุที่ทำให้กระเบื้องเกิดความเสียหาย

พื้นผิวก่อนปูกระเบื้องไม่พร้อมใช้งาน

พื้นผิวที่มีลักษณะไม่สม่ำเสมอ ไม่เรียบ มีความขรุขระ หรือพื้นผิวไม่แน่นหนามั่นคงเพียงพอ ควรทำการแก้ไขซ่อมแซมสภาพนั้นเสียก่อน เพราะเป็นพื้นผิวที่ไม่พร้อมใช้งาน หากปูกระเบื้องทับไปบนพื้นผิวเหล่านั้น อาจทำให้เจอกับปัญหาพื้นผิวยุบตัว หรือปัญหาอื่นๆ ตามมาได้

เลือกกระเบื้องผิดประเภท

การเลือกใช้กระเบื้องผิดประเภท เช่น เอากระเบื้องสำหรับกรุผนังมาปูพื้น มีโอกาสเกิดปัญหากับพื้นกระเบื้องได้ เพราะกระเบื้องผนังไม่ได้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานปูพื้น นอกจากนี้การเลือกกระเบื้องที่มีค่า R หรือค่ากันความลื่น ไม่เหมาะสมกับสถานที่ใช้งานก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้พื้นกระเบื้องมีปัญหาด้วยเช่นกัน

ปูกระเบื้องผิดวิธี

ถ้าที่บ้านคุณกำลังจะปูกระเบื้อง ต้องรีบบอกช่างเลยว่า ไม่ปูกระเบื้องแบบซาลาเปา ไม่เอาการปูแบบขุยขี้หนู และไม่ให้ปูกระเบื้องด้วยปูนดำ (ปูนซีเมนต์ผสมทราย) เพราะวิธีการเหล่านี้มีส่วนที่ทำให้กระเบื้องโก่ง กระเบื้องระเบิก และกระเบื้องล่อน สาเหตุเป็นเพราะอะไรนั้น ตามมาดูที่วิดีโอด้านล่างได้เลย

ปูกระเบื้องชิดมากเกินไป

การปูกระเบื้องที่ชิดกันมากเกินไป ไม่เว้นพื้นที่ร่องสำหรับการยาแนว เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระเบื้องมีโอกาสเบียดกันจนเกิดปัญหา และหากใช้ปูนดำยิ่งส่งผลให้เกิดปัญหาได้ง่าย เนื่องจากปูนดำมีการยืดหดตัวค่อนข้างสูงตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะทำให้กระเบื้องขยับตัวชิดกันและดันกันจนกระเบื้องโก่งหรือระเบิดได้ในที่สุด

ปูกระเบื้องเสร็จต้องทดสอบก่อนการใช้งาน

เมื่อรู้ถึงปัญหาที่จะเจอหากปูกระเบื้องผิดวิธีและเพื่อแก้ปัญหานี้หลังจากการปูกระเบื้องคุณควรตรวจสอบว่ากระเบื้องพร้อมใช้งานหรือไม่ ซึ่งหากเจอปัญหาจุดไหนจะได้แก้ไขได้ทันท่วงทีก่อนที่ปัญหาจะบานปลาย จะได้ไม่เสียงบประมาณและเสียเวลาในการซ่อมแซมแก้ไขในภายหลัง

สังเกตร่องยาแนว

ร่องยาแนวสามารถตรวจสอบได้ด้วยตา ว่าระยะห่างของร่องยาแนวเรียบร้อยเท่ากันหรือไม่ และปูนยาแนวนั้นควรเต็มร่องกระเบื้องเพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่ของพวกแมลง ในกรณีปูกระเบื้องห้องน้ำแนะนำให้ใช้ยาแนวชนิดกันเชื้อราเท่านั้น เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความชื้นมากที่สุด

ตรวจสอบจากการฟังเสียง

อีกหนึ่งวิธีที่ใช้ทดสอบก่อนเริ่มใช้งานคือ การฟังเสียง ใช้ไม้เคาะลงไปที่แผ่นกระเบื้องทีละแผ่น หากมีเสียงก้องและกลวงๆ เสียงไม่แน่นทึบ สันนิษฐานได้เลยว่ากระเบื้องแผ่นนั้นปูไม่ถูกวิธี ปูนไม่เต็มหน้ากระเบื้อง ให้แก้ไขโดยการปูใหม่

ทดสอบความเรียบและความลาดเอียง

การทดสอบความเรียบของพื้นกระเบื้อง ให้ใช้มือลูบหรือใส่รองเท้าเดินไปตามแผ่นกระเบื้อง ถ้าปูได้เรียบต้องราบรื่น ไม่มีจุดสะดุด หรืออีกวิธีตรวจสอบคือวางเหรียญบนระหว่างรอยต่อของแผ่นกระเบื้อง ถ้าใช้นิ้วกดแล้วเหรียญกระดกได้ แสดงว่ากระเบื้อง 2 แผ่นนั้นปูไม่ได้ระดับเสมอกัน ส่วนความลาดเอียงของพื้น สามารถใช้ลูกแก้วหรือลูกบอลในการทดสอบ โดยนำลูกแก้วหลายๆ ลูกมาวางรวมกัน หากวางแล้วลูกแก้วกลิ้งไหลไปทางใดทางหนึ่งแสดงว่าพื้นที่นั้นมีความลาดเอียง

6 วิธีปูกระเบื้องที่ถูกต้อง รับรองไม่มีปัญหากวนใจ

หากทราบวิธีที่ถูกต้องจะสามารถปูกระเบื้องเองได้ แต่ต้องศึกษาข้อมูลและเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เพื่อการปูกระเบื้องที่เรียบร้อย สวยงาม และได้มาตรฐาน

1. เตรียมอุปกรณ์ในงานปูกระเบื้อง

งานปูกระเบื้องใช้อะไรบ้าง? อย่างแรกต้องมีอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานและเหมาะสม

• เกรียงหวี ใช้สำหรับเกลี่ยหน้าปูนให้ได้ระดับ บริเวณขอบจะมีซี่ฟัน
• เกรียงใบโพธิ์ ใช้สำหรับผสมและตักปูน
• ถังผสมปูน
• สว่านไฟฟ้าและหัวปั่น ใช้ปั่นส่วนผสมของปูนกาวให้เข้ากัน
• ตัวดูดกระเบื้อง ใช้สำหรับจับกระเบื้อง
• แปรงสลัดน้ำ ใช้พรมน้ำทำความสะอาดพื้นผิวก่อนการปูกระเบื้อง
• ค้อนยาง ใช้เคาะแผ่นกระเบื้องเพื่อไล่โพรงอากาศ
• Spacer หรือตัวเว้นระยะและปรับระดับ ใช้วางระหว่างร่องกระเบื้องให้มีขนาดเท่ากัน
• ปูนยาแนว

2. ก่อนปูกระเบื้องต้องเตรียมพื้นผิวให้พร้อม

ขั้นตอนแรกของวิธีปูกระเบื้อง คุณควรเตรียมพื้นผิวให้พร้อม โดยใช้แปรงสะบัดน้ำพรมใ้ห้ทั่วและทำความสะอาดโดยนำเศษปูน สิ่งสกปรกออก และควรตรวจสอบประสิทธิภาพการดูดซึมน้ำของพื้นผิว โดยการใช้น้ำราดลงบนพื้นปริมาณเล็กน้อย ถ้าพื้นผิวดูดซึมน้ำได้หมดก่อนระยะเวลา 1 นาที ถือว่าดูดซึมเร็วเกินไป แนะนำให้ทาด้วยน้ำยารองพื้นเพื่อลดการดูดซึมน้ำ และปล่อยให้พื้นแห้ง

3. เลือกกระเบื้องให้ถูกประเภท

กระเบื้องแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและความเหมาะสมกับการใช้งานแตกต่างกัน ต้องเลือกใช้กระเบื้องให้ถูกประเภท ไม่ควรใช้กระเบื้องสำหรับกรุผนังมาปูพื้น นอกจากนี้ควรเลือกกระเบื้องโดยอิงจากค่า R (Slip Resistance Rating) ซึ่งค่า R คือค่าคุณสมบัติการกันความลื่นบนผิวกระเบื้อง มีตั้งแต่ R9 ถึง R13

• ค่า R9 คุณสมบัติการกันลื่นน้อยสุด เหมาะสำหรับปูในพื้นที่แห้ง ใช้งานทั่วไป เช่น ห้องโถง ห้องรับแขก ห้องนอน
• ค่า R10 เหมาะกับบริเวณที่เปียกน้ำได้เล็กน้อย เช่น ห้องน้ำโซนแห้ง โรงรถ บริเวณระเบียง
• ค่า R11 เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานภายนอก และพื้นที่โดนน้ำบ่อย เช่น ทางเดินรอบนอก ที่จอดรถนอกอาคาร ลานซักล้าง
• ค่า R12 เหมาะใช้ปูกับพื้นที่ภายนอกและพื้นที่ที่มีความลาดชัน เช่น ลานกลางแจ้ง บริเวณสระว่ายน้ำ
• ค่า R13 มีคุณสมบัติกันลื่นสูงมาก กระเบื้องค่า R นี้จะมีพื้นผิวที่หยาบมากสุด มักใช้ในพื้นที่สาธารณะ ที่มีความลาดชัน หรือบริเวณที่มีคราบไขมันมาก เช่น พื้นในห้องครัวของร้านอาหาร

4. ปูกระเบื้องโดยใช้ปูนกาวซีเมนต์

เปลี่ยนวิธีการปูกระเบื้องแบบผิดๆ อย่างการปูแบบซาลาเปาหรือปูแบบขุยขี้หนู มาใช้ปูนกาว ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ปูนกาวซีเมนต์มีหลายชนิดให้เลือก ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความเหมาะสม โดยแบ่งปูนกาว ออกเป็น  

• กาวซีเมนต์ ทีโอเอ โปรไทล์ แบบสำเร็จรูป มีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดแรงยึดเกาะระหว่างกระเบื้องและพื้นผิวสูง จัดกระเบื้องได้ง่าย เหมาะกับงานปูกระเบื้องทั่วไป
• กาวซีเมนต์ ทีโอเอ ซุปเปอร์ไทล์ มีคุณสมบัติแรงยึดเกาะสูงพิเศษ เหนียวติดทนทาน เหมาะสำหรับปูกระเบื้องขนาดใหญ่และงานสระว่ายน้ำ
• กาวซีเมนต์ ทีโอเอ พรีเมียมไทล์ มีคุณสมบัติแรงยึดเกาะสูงสุด ติดทนทาน ทั้งยังต้านแรงสั่นสะเทือน เหมาะใช้สำหรับปูกระเบื้องขนาดใหญ่พิเศษและงานปูทับกระเบื้องเก่าโดยไม่ต้องสกัด

5. ปูกระเบื้องด้วยระยะห่างที่พอดี เรียบเสมอกัน

เมื่อเลือกกระเบื้องและปูนกาวได้แล้ว ก็สามารถเริ่มขั้นตอนการปูกระเบื้องได้ โดยให้เริ่มผสมปูนกาวในอัตราที่ระบุไว้ข้างผลิตภัณฑ์ สามารถใช้สว่านในการช่วยผสมได้เพราะจะช่วยทุนแรง จากนั้นให้ใช้เกรียงใบโพธิ์ตักปูนกาวลงไปที่พื้น และนำเกรียงหวีเกลี่ยปูนให้ทั่วและสม่ำเสมอ ต่อด้วยการใช้ตัวดูดกระเบื้องจับกระเบื้องและนำไปวาง ขยับเล็กน้อยเป็นการไล่โพร่งอากาศออก และใช้ค้อนยางเคาะเบาๆ บนกระเบื้อง

ทั้งนี้ ควรปูโดยเว้นระยะห่างที่พอดี ให้แต่ละแผ่นห่างกันอย่างน้อย 2 – 3 มม. เว้นไว้เพื่อเป็นร่องสำหรับยาแนว โดยสามารถใช้ตัว Spacers เครื่องมือแบ่งระยะที่เหมาะสมของร่องยาแนวให้มีความเรียบเสมอกัน

6. ปูกระเบื้องเสร็จต้องลงยาแนว

การลงยาแนวที่ดีจะช่วยให้งานปูกระเบื้องออกมาเรียบร้อยสวยงาม ดังนั้น วิธียาแนวกระเบื้องที่ถูกต้องคือ ควรลงยาแนวให้เต็มร่อง ไม่ให้เกิดช่องว่าง หลังยาแนวเสร็จแล้วควรทิ้งให้กาวเช็ตตัว อย่างน้อย 1 ชั่วโมงครึ่ง และหากเป็นการยาแนวห้องน้ำควรทิ้งไว้ 24 ชั่วโมงก่อนการใช้งาน ทั้งนี้ ควรเลือกสีให้กลมกลืนกับสีกระเบื้อง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ยาแนวที่มีคุณภาพ ป้องกันเชื้อราอย่าง ทีโอเอ พรีเมี่ยม เกร๊าท์ กาวยาแนวเกรดพรีเมี่ยม เหมาะสำหรับร่องกระเบื้องทุกชนิดและแนวขอบสุขภัณฑ์ หรือกาวยาแนวสำหรับร่องเล็กพิเศษ ทีโอเอ พรีเมี่ยม เกร๊าท์ พลัส เหมาะสำหรับร่องกระเบื้องทุกชนิดที่ต้องการปูชิดและมีร่องกว้าง 0.2 – 3 มม. ไม่หดตัว ไม่หลุดร่อน มีความคงทนสูง

แก้ไขอย่างไรเมื่อพบว่ากระเบื้องมีปัญหา

หากคุณพบปัญหาต่างๆ เหล่านี้หลังจากที่ได้ทำการปูกระเบื้องไปแล้ว ในเบื้องต้นก็สามารถแก้ไขได้ตามวิธีด้านล่างนี้

ปัญหาจากการปรับสภาพผิวไม่ดี และปัญหากระเบื้องชนกัน

• กรณียังไม่ได้เริ่มปู ให้ใส่ใจกับการปรับพื้นผิวและพิถีพิถันทุกขั้นตอนจนจบกระบวนการ
• กรณีปูไปแล้ว ให้รื้อกระเบื้องส่วนที่เกิดปัญหาแล้วปรับพื้นผิวใหม่ให้ดีก่อนปูกระเบื้องอีกครั้ง

ปัญหากระเบื้องมีโพรงอากาศจากการปูไม่เต็ม

• ไล่ตรวจสอบกระเบื้องบริเวณใกล้เคียง
• หยอดน้ำปูนกาวเข้าไปใต้แผ่นกระเบื้อง
• เคาะทดสอบอีกครั้งถ้าเต็มจะไม่มีเสียงกลวง

จากข้างต้นได้เห็นวิธีการขั้นตอนต่างๆ มีตัวอย่างที่ผิดและถูก ทั้งวิธีสังเกตคุณภาพการปูกระเบื้อง เมื่อเจอปัญหากวนใจจากกระเบื้องหลุด โก่ง ระเบิด ก็คงจะพอนึกภาพออกถึงวิธีแก้ไขปัญหาได้ง่ายๆ คือ ใช้วิธีปูกระเบื้องที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพนั่นเอง และแม้ว่าขั้นตอนการปูกระเบื้องจะไม่ได้มีความซับซ้อนสามารถทำเองได้ หลายคนก็เลือกที่จะใช้บริการจากช่างผู้เชี่ยวชาญอย่าง WHO Service ในการปูกระเบื้อง เพื่อหลีกเหลี่ยงการเกิดปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต